จุดตะวันตกสุดของประเทศไทย อยู่ที่ใด?

คำถาม ... จุดตะวันตกสุดของประเทศไทย อยู่ที่ใด?

เฉลย ...

จุดตะวันตกสุดของประเทศไทย อยู่ที่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งอยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย โดยมีพิกัดทางภูมิศาสตร์คือ 18°34′N 97°21′E

อำเภอแม่สะเรียงมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นหุบเขาสลับซับซ้อน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญเพราะมีธรรมชาติ ป่าไม้ ขุนเขา และแม่น้ำลำธารที่สมบูรณ์สวยงาม นอกจากนั้นยังมีวัฒนธรรมของชนเผ่าและประเพณีของท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง


ภาพแสดงที่ตั้งอำเภอแม่สะเรียง


เกร็ดความรู้อำเภอแม่สะเรียง

พื้นที่ : 2,587.40 ตารางกิโลเมตร
ประชากร : 55,290 คน (พ.ศ. 2564)

อาณาเขต

รหัสไปรษณีย์ : 58110

การปกครอง : อำเภอแม่สะเรียง มี 7 ตำบล 77 หมู่บ้าน
1. ตำบลแม่สะเรียง
2. ตำบลแม่ยวม
3. ตำบลบ้านกาศ
4. ตำบลป่าแป๋
5. ตำบลแม่คง
6. ตำบลเสาหิน
7. ตำบลแม่เหาะ

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น : 8 แห่ง (3 เทศบาลตำบล, 5 องค์การบริหารส่วนตำบล)
1. เทศบาลตำบลแม่สะเรียง
2. เทศบาลตำบลแม่ยวม
3. เทศบาลตำบลแม่ยวมใต้
4. องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกาศ
5. องค์การบริหารส่วนตำบลป่าแป๋
6. องค์การบริหารส่วนตำบลแม่คง
7. องค์การบริหารส่วนตำบลเสาหิน
8. องค์การบริหารส่วนตำบลแม่เหาะ

ที่ว่าการอำเภอ
ที่ว่าการอำเภอแม่สะเรียง หมู่ที่ 2 ถนนเวียงใหม่ ตำบลแม่สะเรียง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน 58110 
โทรศัพท์ : 053 681 822

คำขวัญ : เทียนเหงพร่างตา ผ้าทอกะเหรี่ยง เสนาะเสียงสาละวิน งามถิ่นธรรมชาติ พระธาตุสี่จอม กล้วยไม้หอมเอื้องแซะ



ยุทธหัตถี เกิดขึ้นที่ใด?

คำถาม... ยุทธหัตถี เกิดขึ้นที่ใด?

เฉลย ... สงครามยุทธหัตถีเกิดขึ้นที่ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี

สงครามยุทธหัตถีในที่นี้ เราจะหมายถึง การทำยุทธหัตถี หรือ สงครามชนช้าง ระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับสมเด็จพระมหาอุปราชา ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันแรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. 2135 ซึ่งตรงกับวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2135 

สงครามในครั้งนั้น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ทรงช้างศึกชื่อเจ้าพระยาไชยานุภาพ และสมเด็จพระเอกาทศรถได้ทรงช้างชื่อเจ้าพระยาปราบไตรจักร เข้าทำการรบ ซึ่งในขณะเข้าทำการรบนั้น ช้างทรงทั้งสองเกิดตกมัน ทำให้ถลำเข้าไปในวงล้อมของทัพสมเด็จพระมหาอุปราชา สมเด็จพระนเรศวรจึงต้องแก้สถานการณ์โดยทรงท้าสมเด็จพระมหาอุปราชากระทำยุทธหัตถี ซึ่งถือว่ามีเกียรติและศักดิ์ศรีสูงสุดสำหรับกษัตริย์นักรบ และในการรบครั้งนี้สมเด็จพระมหาอุปราชาได้ใช้พระแสงของ้าวฟันเข้าที่พระมาลาหนัง (หมวกหนัง) ของสมเด็จพระนเรศวรจนขาด ต่อมาเจ้าพระยาไชยานุภาพได้พุ่งเข้าชนช้างทรงของสมเด็จพระมหาอุปราชาจนเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรจึงได้จังหวะ ใช้พระแสงของ้าวฟันถูกพระมหาอุปราชาเข้าที่อังสะขวา (ไหล่ขวา) จนสิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง

จากชัยชนะในการรบครั้งนี้ ทำให้ทัพพม่าแตกพ่าย และไม่กลับมารุกรานไทยนานเกือบ 200 ปี

ภาพวาดจำลองการทำยุทธหัตถี


หมายเหตุ
คำว่า ยุทธหัตถี หมายถึง การชนช้าง หรือ การทำสงครามบนหลังช้างตามประเพณีโบราณของกษัตริย์ในภูมิภาคสุวรรณภูมิ เป็นการทำสงครามซึ่งถือว่ามีเกียรติยศสูง เพราะช้างถือเป็นสัตว์ใหญ่ เป็นพาหนะทรงของกษัตริย์ และเป็นการปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า ผู้แพ้อาจถึงแก่ชีวิตได้

ในประวัติศาสตร์ของไทยนั้น การกระทำยุทธหัตถีนั้นเกิดขึ้น 4 ครั้ง ได้แก่

1. ยุทธหัตถีระหว่างพ่อขุนรามคำแหงมหาราชกับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด พ่อขุนรามคำแหงทรงได้รับชนะ

2. ยุทธหัตถีที่สะพานป่าถ่าน ระหว่างเจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยา เพื่อชิงราชสมบัติ ปรากฏว่าสิ้นพระชนม์ทั้งคู่

3. ยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระสุริโยทัยกับพระเจ้าแปร ในปี พ.ศ. 2091 ที่ทุ่งมะขามหย่อง พระนครศรีอยุธยา ซึ่งการรบคร้งนี้สมเด็จพระสุริโยทัยสิ้นพระชนม์บนคอช้าง

4. ยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับพระมหาอุปราชามังสามเกียด ในปี พ.ศ. 2135 ที่ทุ่งมะขามหย่อง อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ชัยชนะ



จังหวัดบุรีรัมย์ มีกี่อำเภอ กี่ตำบล และกี่หมู่บ้าน?

คำถาม ... จังหวัดบุรีรัมย์ มีกี่อำเภอ กี่ตำบล และกี่หมู่บ้าน?

เฉลย ...
จังหวัดบุรีรัมย์ มี 23 อำเภอ 189 ตำบล 2,212 หมู่บ้าน


อำเภอของจังหวัดบุรีรัมย์ มีดังนี้
1. อำเภอเมืองบุรีรัมย์
2. อำเภอห้วยราช
3. อำเภอหนองหงส์
4. อำเภอหนองกี่
5. อำเภอสตึก
6. อำเภอลำปลายมาศ
7. อำเภอละหานทราย
8. อำเภอพุทไธสง
9. อำเภอพลับพลาชัย
10. อำเภอปะคำ
11. อำเภอประโคนชัย
12. อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์
13. อำเภอบ้านด่าน
14. อำเภอบ้านกรวด
15. อำเภอโนนสุวรรณ
16. อำเภอโนนดินแดง
17. อำเภอนาโพธิ์
18. อำเภอนางรอง
19. อำเภอชำนิ
20. อำเภอเฉลิมพระเกียรติ
21. อำเภอแคนดง
22. อำเภอคูเมือง
23. อำเภอกระสัง



อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง โบราณสถานสำคัญของจังหวัดบุรีรัมย์


รายละเอียดอำเภอของจังหวัดบุรีรัมย์ มีดังนี้
1. อำเภอเมืองบุรีรัมย์ มี 19 ตำบล 323 หมู่บ้าน

  • ตำบลในเมือง
  • ตำบลชุมเห็ด
  • ตำบลอิสาณ
  • ตำบลหลักเขต
  • ตำบลบ้านบัว
  • ตำบลหนองตาด
  • ตำบลเสม็ด
  • ตำบลเมืองฝาง
  • ตำบลสะแกโพรง
  • ตำบลกระสัง
  • ตำบลสวายจีก
  • ตำบลกลันทา
  • ตำบลบ้านยาง
  • ตำบลสะแกซำ
  • ตำบลพระครู
  • ตำบลบัวทอง
  • ตำบลถลุงเหล็ก
  • ตำบลสองห้อง
  • ตำบลลุมปุ๊ก

2. อำเภอห้วยราช มี 8 ตำบล 80 หมู่บ้าน

  • ตำบลห้วยราช
  • ตำบลโคกเหล็ก
  • ตำบลสามแวง
  • ตำบลห้วยราชา
  • ตำบลเมืองโพธิ์
  • ตำบลสนวน
  • ตำบลบ้านตะโก
  • ตำบลตาเสา

3. อำเภอหนองหงส์ มี 7 ตำบล 100 หมู่บ้าน

  • ตำบลสระแก้ว
  • ตำบลสระทอง
  • ตำบลห้วยหิน
  • ตำบลเมืองฝ้าย
  • ตำบลไทยสามัคคี
  • ตำบลเสาเดียว
  • ตำบลหนองชัยศรี

4. อำเภอหนองกี่ มี 10 ตำบล 108 หมู่บ้าน

  • ตำบลหนองกี่
  • ตำบลท่าโพธิ์ชัย
  • ตำบลทุ่งกระเต็น
  • ตำบลเย้ยปราสาท
  • ตำบลทุ่งกระตาดพัฒนา
  • ตำบลเมืองไผ่
  • ตำบลโคกสูง
  • ตำบลดอนอะราง
  • ตำบลบุกระสัง
  • ตำบลโคกสว่าง

5. อำเภอสตึก มี 12 ตำบล 179 หมู่บ้าน

  • ตำบลสตึก
  • ตำบลดอนมนต์
  • ตำบลสะแก
  • ตำบลนิคม
  • ตำบลทุ่งวัง
  • ตำบลกระสัง
  • ตำบลเมืองแก
  • ตำบลสนามชัย
  • ตำบลหนองใหญ่
  • ตำบลท่าม่วง
  • ตำบลร่อนทอง
  • ตำบลชุมแสง

6. อำเภอลำปลายมาศ มี 16 ตำบล 216 หมู่บ้าน

  • ตำบลลำปลายมาศ
  • ตำบลทะเมนชัย
  • ตำบลหนองคู
  • ตำบลหนองโดน
  • ตำบลแสลงพัน
  • ตำบลบุโพธิ์
  • ตำบลตลาดโพธิ์
  • ตำบลหนองบัวโคก
  • ตำบลหนองกะทิง
  • ตำบลผไทรินทร์
  • ตำบลโคกกลาง
  • ตำบลหินโคน
  • ตำบลโคกสะอาด
  • ตำบลโคกล่าม
  • ตำบลบ้านยาง
  • ตำบลเมืองแฝก

7. อำเภอละหานทราย มี 6 ตำบล 84 หมู่บ้าน

  • ตำบลละหานทราย
  • ตำบลหนองแวง
  • ตำบลตาจง
  • ตำบลหนองตะครอง
  • ตำบลโคกว่าน
  • ตำบลสำโรงใหม่

8. อำเภอพุทไธสง มี 7 ตำบล 97 หมู่บ้าน

  • ตำบลพุทไธสง
  • ตำบลบ้านแวง
  • ตำบลมะเฟือง
  • ตำบลหายโศก
  • ตำบลบ้านจาน
  • ตำบลบ้านยาง
  • ตำบลบ้านเป้า

9. อำเภอพลับพลาชัย มี 5 ตำบล 67 หมู่บ้าน

  • ตำบลสะเดา
  • ตำบลป่าชัน
  • ตำบลจันดุม
  • ตำบลสำโรง
  • ตำบลโคกขมิ้น

10. อำเภอปะคำ มี 5 ตำบล 77 หมู่บ้าน

  • ตำบลปะคำ
  • ตำบลหูทำนบ
  • ตำบลไทยเจริญ
  • ตำบลโคกมะม่วง
  • ตำบลหนองบัว

11. อำเภอประโคนชัย มี 16 ตำบล 182 หมู่บ้าน

  • ตำบลประโคนชัย
  • ตำบลสี่เหลี่ยม
  • ตำบลแสลงโทน
  • ตำบลประทัดบุ
  • ตำบลบ้านไทร
  • ตำบลตะโกตาพิ
  • ตำบลละเวี้ย
  • ตำบลโคกตูม
  • ตำบลจรเข้มาก
  • ตำบลโคกมะขาม
  • ตำบลปังกู
  • ตำบลหนองบอน
  • ตำบลโคกย่าง
  • ตำบลไพศาล
  • ตำบลเขาคอก
  • ตำบลโคกม้า

12. อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์ มี 5 ตำบล 55 หมู่บ้าน

  • ตำบลหนองแวง
  • ตำบลกู่สวนแตง
  • ตำบลทองหลาง
  • ตำบลหนองเยือง
  • ตำบลแดงใหญ่

13. อำเภอบ้านด่าน มี 4 ตำบล 59 หมู่บ้าน

  • ตำบลบ้านด่าน
  • ตำบลโนนขวาง
  • ตำบลปราสาท
  • ตำบลวังเหนือ

14. อำเภอบ้านกรวด มี 9 ตำบล 115 หมู่บ้าน

  • ตำบลบ้านกรวด
  • ตำบลปราสาท
  • ตำบลจันทบเพชร
  • ตำบลโนนเจริญ
  • ตำบลบึงเจริญ
  • ตำบลหนองไม้งาม
  • ตำบลสายตะกู
  • ตำบลเขาดินเหนือ
  • ตำบลหินลาด

15. อำเภอโนนสุวรรณ มี 4 ตำบล 56 หมู่บ้าน

  • ตำบลโนนสุวรรณ
  • ตำบลโกรกแก้ว
  • ตำบลดงอีจาน
  • ตำบลทุ่งจังหัน


16. อำเภอโนนดินแดง มี 3 ตำบล 37 หมู่บ้าน

  • ตำบลโนนดินแดง
  • ตำบลลำนางรอง
  • ตำบลส้มป่อย

17. อำเภอนาโพธิ์ มี 5 ตำบล 65 หมู่บ้าน

  • ตำบลนาโพธิ์
  • ตำบลดอนกอก
  • ตำบลบ้านคู
  • ตำบลศรีสว่าง
  • ตำบลบ้านดู่

18. อำเภอนางรอง มี 15 ตำบล 188 หมู่บ้าน

  • ตำบลนางรอง
  • ตำบลหนองโสน
  • ตำบลชุมแสง
  • ตำบลทุ่งแสงทอง
  • ตำบลสะเดา
  • ตำบลหัวถนน
  • ตำบลหนองโบสถ์
  • ตำบลหนองยายพิมพ์
  • ตำบลหนองกง
  • ตำบลทรัพย์พระยา
  • ตำบลถนนหัก
  • ตำบลลำไทรโยง
  • ตำบลหนองไทร
  • ตำบลบ้านสิงห์
  • ตำบลก้านเหลือง

19. อำเภอชำนิ มี 6 ตำบล 63 หมู่บ้าน

  • 1. ตำบลชำนิ
  • 2. ตำบลละลวด
  • 3. ตำบลหนองปล่อง
  • 4. ตำบลโคกสนวน
  • 5. ตำบลช่อผกา
  • ตำบลเมืองยาง

20. อำเภอเฉลิมพระเกียรติ มี 5 ตำบล 67 หมู่บ้าน

  • ตำบลตาเป๊ก
  • ตำบลยายแย้มวัฒนา
  • ตำบลอีสานเขต
  • ตำบลถาวร
  • ตำบลเจริญสุข


21. อำเภอแคนดง มี ตำบล 54 หมู่บ้าน

  • ตำบลแคนดง
  • ตำบลหัวฝาย
  • ตำบลดงพลอง
  • ตำบลสระบัว

22. อำเภอคูเมือง มี 7 ตำบล 106 หมู่บ้าน

  • ตำบลคูเมือง
  • ตำบลตูมใหญ่
  • ตำบลปะเคียบ
  • ตำบลหนองขมาร
  • ตำบลบ้านแพ
  • ตำบลหินเหล็กไฟ
  • ตำบลพรสำราญ

23. อำเภอกระสัง มี 11 ตำบล 168 หมู่บ้าน

  • ตำบลกระสัง
  • ตำบลชุมแสง
  • ตำบลลำดวน
  • ตำบลบ้านปรือ
  • ตำบลสองชั้น
  • ตำบลห้วยสำราญ
  • ตำบลสูงเนิน
  • ตำบลกันทรารมย์
  • ตำบลหนองเต็ง
  • ตำบลศรีภูมิ
  • ตำบลเมืองไผ่
อาณาเขต
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
สถาบันอุดมศึกษา
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
  • มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา
  • มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (วิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์)
  • วิทยาลัยชุมชนบุรีรัมย์
ศูนย์การค้า / ห้างสรรพสินค้า
  • ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน บุรีรัมย์
  • ห้างสยามแม็คโคร สาขาบุรีรัมย์
  • ห้างโลตัส สาขาสตึก
  • ห้างโลตัส สาขานางรอง
  • ห้างโลตัส สาขาลำปลายมาศ
  • ห้างโลตัส สาขาประโคนชัย
  • ห้างโลตัส สาขาละหานทราย (โกเฟรช ซูเปอร์มาร์เก็ต)
  • ห้างบิ๊กซี สาขาบุรีรัมย์
  • ห้างบิ๊กซี สาขาหนองกี่
  • ห้างทวีกิจ ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ สาขาบุรีรัมย์
  • ห้างทวีกิจ สาขานางรอง


ภาพแสดงที่ตั้งจังหวัดบุรีรัมย์


เกร็ดความรู้จังหวัดบุรีรัมย์

ภาค : ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
พื้นที่ : 10,322.89 ตารางกิโลเมตร
ประชากร : 1,579,805 คน (พ.ศ. 2564)
คำขวัญประจำจังหวัด : เมืองปราสาทหิน ถิ่นภูเขาไฟ ผ้าไหมสวย รวยวัฒนธรรม เลิศล้ำเมืองกีฬา
ดอกไม้ประจำจังหวัด : ดอกสุพรรณิการ์
ต้นไม้ประจำจังหวัด : ต้นแปะ
อักษรย่อ : บร, BRM
อุทยานแห่งชาติ : -
วนอุทยาน : 1 แห่ง (วนอุทยานเขากระโดง)
ป่าสงวนแห่งชาติ : 22 แห่ง
สวนรุกขชาติ : -
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า : 1 แห่ง (เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่)
เขตห้ามล่าสัตว์ป่า : 5 แห่ง
พื้นที่ป่า : 552,134.84 ไร่
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ : -
อุทยานประวัติศาสตร์ : 1 แห่ง (อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง)
มรดกโลก : 1 แห่ง (กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่)
รหัสไปรษณีย์ : 31000

ศาลากลางจังหวัด : ศูนย์ราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เลขที่ 1159 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 226 ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ 31000

โทรศัพท์ : 044 611 342


15 วิธีแก้เท้าเหม็น ทำได้เองง่าย ๆ ที่บ้าน

หลายคนมีปัญหาที่กลัดกลุ้มใจและน่าอับอายเรื่องกลิ่นเท้า (แต่บอกใครไม่ได้ 😅😅😅) กลิ่นเท้าเป็นสิ่งที่สร้างความรำคาญใจอย่างรุนแรงให้กับทั้งเจ้าของกลิ่นและผู้ที่ได้กลิ่น ซึ่งเจ้ากลิ่นเท้าอันแสนรัญจวนนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น รองเท้าหรือถุงเท้าไม่สะอาด มีความอับชื้น การล้างเท้าไม่สะอาด หรือในบางรายที่มีเหงื่อมากก็จะเกิดการหมักหมมและเพิ่มความชื้นที่เท้า ทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมาได้ แต่เจ้าต้นตอของปัญหาคือแบคทีเรียบางชนิดที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีบนผิวหนัง โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในที่อับชื้น ดังนั้นการกำจัดแบคทีเรียนี้ หรือทำให้มันเจริญเติบโตช้าลง จะช่วยให้ปัญหาเท้าเห็นหมดลงได้มาก


เท้าเหม็น ... เรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม


ปัญหาเท้าเหม็นนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และแน่นอนว่ากลิ่นไม่พึงประสงค์เหล่านี้ทำให้หลายคนขาดความมั่นใจและใช้ชีวิตประจำวันลำบาก โดยเฉพาะเวลาที่จำเป็นต้องถอดรองเท้า เช่น การเข้าห้องสมุด การเข้าออฟฟิศที่ต้องถอดรองเท้า หรือแม้กระทั่งการเข้าร้านอาหารบางร้าน วันนี้เราจึงขอแนะนำวิธีแก้เท้าเหม็นที่ได้ผล และสามารถทำได้เองง่าย ๆ ที่บ้านมาฝากกัน

15 วิธีแก้เท้าเหม็น ทำได้เองง่าย ๆ ที่บ้าน มีดังนี้

1. ทำความสะอาดเท้าทุกวัน
การทำความสะอาดเท้าทุกวันง่าย ๆ ด้วยน้ำและสบู่ โดยใช้เแปรงนุ่ม ๆ หรือแปรงสีฟันที่ไม่ได้ใช้แล้วขัดเบา ๆ ให้ทั่ว จะเป็นการกำจัดสิ่งสกปรก แบคทีเรีย และหนังกำพร้าบริเวณเท้าให้หลุดออกไป ทำให้สาเหตุของอาการเท้าเหม็นหมดไปด้วย เมื่อขัดและล้างจนสะอาดแล้ว จึงใช้ผ้าที่สะอาดเช็ดให้แห้ง วิธีนี้เป็นวิธีแก้เท้าเหม็นที่ง่ายที่สุด เนื่องจากเราต้องอาบน้ำทุกวันอยู่แล้ว (ยกเว้นคนที่อาบสัปดาห์ละครั้งหรือเดือนละครั้ง  ควรใช้วิธีอื่น 😝😝😝)

2. มีรองเท้าสำรอง
รองเท้าสำรองเพื่อเปลี่ยนระหว่างวัน อาจจะเป็นรองเท้าแตะหรือรองเท้าผ้าที่ระบายอากาศได้ดี จะสามารถลดการสะสมของความอับชื่น ซึ่งจะช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ดีกว่าการใส่รองเท้าหุ้มส้นทั้งวัน


รองเท้าแตะ/รองเท้าผ้า ควรมีสำรองไว้ในที่ทำงาน


3. ทำความสะอาดรองเท้า
ความสกปรกและความหมักหมมจะสะสมอยู่ที่ทั้งเท้าและรองเท้าของเรา ดังนั้นการทำความสะอาดเท้าเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่สามารถแก้อาการเท้าเหม็นให้หมดไปได้ ดังนั้นเราจึงต้องทำความสะอาดรองเท้าอันเน่าเหม็นด้วย (เชื่อเหอะ ทุกคนเคยยกรองเท้าขึ้นดม 5555+) สำหรับรองเท้าที่สามารถซักได้ เช่น รองเท้าผ้าใบ เราควรซักบ่อย ๆ แล้วตากแดดให้แห้ง ความร้อนจากแสงอาทิตย์สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียให้หมดไปได้ แต่สำหรับรองเท้าที่ไม่สามารถซักได้ก็ควรผึ่งให้แห้งอยู่เสมอ อาจใช้แอลกอฮอล์ชุบสำลีทาให้ทั่ว ๆ เพื่อช่วยฆ่าเชื้ออีกแรงก็ได้

4. ดูแลถุงเท้าให้สะอาด
ถุงเท้าคือสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดเท้าเรามากที่สุด เป็นสิ่งที่สัมผัสโดยตรงต่อเหงื่อและความอับชื้น ดังนั้นถุงเท้าจึงดูดซับเอาความสกปรกเอาไว้มากที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การรักษาความสะอาดของถุงเท้าจึงมีความสำคัญมาก ควรซักและตากให้แห้งทุกครั้งเมื่อใช้งานแล้ว ไม่ควรใช้ซ้ำเด็ดขาด และไม่ควรเอามาดม อาจเป็นข่าวหน้าหนึ่งได้ 😅😅😅 ที่สำคัญเราควรเลือกใช้ถุงเท้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ฝ้าย 100% เนื่องจากเส้นใยธรรมชาติสามารถดูดซับความอับชื้นและกลิ่นได้ดีกว่าเส้นใยสังเคราะห์มาก

5. น้ำยาบ้วนปาก
น้ำยาบ้วนปากมักมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และน้ำยากำจัดเชื้อแบคทีเรีย ดังนั้นเราจึงสามารถนำมาทำความสำอาดเท้าได้ โดยใช้สำลีสะอาดชุบน้ำยาบ้วนปากให้ชุ่ม แล้วถูให้ทั่วเท้ารวมถึงตามง่ามนิ้วด้วย ก็จะช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียและหนังกำพร้าที่ตายแล้ว ซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรียไปพร้อมกันเลย ทิ้งไว้สักพักจึงล้างออกหรือเช็ดด้วยน้ำให้สะอาด

อีกวิธีหนึ่งของการใช้น้ำยาบ้วนปากในการกำจัดกลิ่นเท้าเหม็น คือ การแช่เท้าในน้ำยาบ้วนปาก โดยอาจจะผสมน้ำในอัตราส่วน น้ำ 2 ส่วนต่อน้ำยาบ้วนปาก 1 ส่วน แช่ไว้ประมาณ 30 นาที จากนั้นจึงขัดเท้าเพื่อกำจัดหนังกำพร้าที่ตายแล้วออก ... วิธีนี้เป็นวิธีที่ต้นทุนสูงมาก เนื่องจากน้ำยาบ้วนปากมีราคาแพงนั่นเอง (ไม่รวยจริงก็อย่าหาทำ 😅😅😅)

6. หนังสือพิมพ์
หนังสือพิมพ์มักมีส่วนผสมของคาร์บอน (หรือผงถ่าน) ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดซับกลิ่น (เช่นเดียวกันกับที่เรานิยมเอาถ่านก้อนดำ ๆ ไปวางไว้ในตู้เย็นเพื่อดับกลิ่นนั่นแหละ) ดังนั้นเมื่อเราเอากระดาษหนังสือพิมพ์ที่ขยำให้เป็นก้อนแล้วยัดเข้าไปในรองเท้า แล้วทิ้งไว้ข้ามคืน ก็จะช่วยกำจัดกลิ่นในรองเท้าได้มาก

7. สารส้ม
สารส้มเป็นสารที่ช่วยลดเหงื่อและช่วยกำจัดกลิ่น ดังนั้นจึงมีการใช้สารส้มเป็นส่วนผสมหลักในการผลิตโรลออนสำหรับทาหรือพ่นรักแร้ เราเองก็สามารถนำเอาสารส้มมากำจัดกลิ่นเท้าได้เช่นกัน วิธีการก็ไม่ยุ่งยาก เพียงนำสารส้มก้อนมาละลายในน้ำอุ่น แล้วแช่เท้าไว้ 20-30 นาที จากนั้นจึงนำแปรงนุ่ม ๆ มาขัดเท้าและซอกนิ้วเท้าเบา ๆ แค่นี้ก็ช่วยให้เท้าหายเหม็นได้ และได้กำจัดหนังกำพร้าที่ตายแล้วได้อีกด้วย

8. เบกกิ้งโซดา
เบกกิ้งโซดา หรือ Sodium bicarbonate เมื่อละลายน้ำจะมีสภาพเป็นกรดอ่อน ๆ เป็นสารเคมีอเนกประสงค์ มีความสามารถในการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคด้วย ดังนั้นเราจึงสามารถนำเบกกิ้งโซดามาทำความสะอาดเท้าเพื่อกำจัดกลิ่นอันรัญจวนใจได้เช่นกัน วิธีการคือนำเบกกิ้งโซดามาละลายน้ำแบบเข้มข้น (ผสมจนหนืดเป็นครีม) แล้วใช้แปรงขัดเท้าหรือแปรงสีฟันจุ่มแล้วขัดให้ทั่วเท้ารวมถึงซอกนิ้วด้วย ขัดเบา ๆ ไปเรื่อยประมาณ 10-20 นาที จากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำสบู่และน้ำเปล่า ซับเท้าด้วยผ้าสะอาดให้แห้ง เพียงเท่านี้เท้าเราก็จะหายเหม็น สะอาดหอมฉุย (ท้าให้ลองดมดูก็ได้ 😁😁😁)

9. น้ำส้มสายชู
น้ำส้มสายชูมีส่วนผสมหลักคือ กรดอะซิติก (Acetic acid) ใครไม่รู้จักกรดอะซิติกแสดงว่าโดดเรียนวิชาเคมีบ่อย 😝😝😝 ดังนั้นน้ำส้มสายชูก็คือน้ำกรดนั่นเอง แต่เป็นกรดชนิดอ่อน ไม่ใช่น้ำกรดรุนแรงแบบที่ใช้สาดหน้ากันอย่างที่เป็นข่าวนะ น้ำส้มสายชูสามารถรับประทานได้ เช่นที่ใช้กันในร้านก๋วยเตี๋ยวทุกร้านนั่นแหละ  สภาวะกรดเป็นสภาวะที่แบคทีเรียไม่สามารถเจริญเติบโตได้ แถมตัวมันยังตายได้ง่ายในสภาวะกรดอีกด้วย ดังนั้นเราจึงสามารถประยุกต์เอาน้ำส้มสายชูมาช่วยกำจัดแบคทีเรียที่เท้า ซึ่งเป็นต้นเหตุของกลิ่นที่สังคมเบือนหน้าหนีชนิดนี้ได้ วิธีการคือ นำน้ำส้มสายชูที่มีขายทั่วไปมาผสมน้ำ ผสมแบบจาง ๆ อัตราส่วน 4:1 หรือ 5:1 ก็ได้ แล้วจึงนำเท้าที่มีกลิ่นโชยลงไปแช่ประมาณ 30 นาที เพียงเท่านี้เจ้าเชื้อแบคทีเรียก็กระเจิงหมด จากนั้นจึงล้างซ้ำด้วยน้ำและสบู่ ถ้ายังมีเวลาเหลือก็ขัดเท้าเพื่อลอกหนังกำพร้าเสียหน่อยก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

หมายเหตุ น้ำส้มสายชูทีให้เลือก 2 แบบ คือ น้ำส้มสายชูหมัก ซึ่งหมักจากผลไม้หรือแป้ง (ใช้กระบวนการหมักเพื่อเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล เปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ และเปลี่ยนแอลกอฮอล์ให้เป็นกรดอีกที) อีกชนิดคือน้ำส้มสายชูกลั่น ซึ่งเป็นการสังเคราะห์ทางเคมีขึ้นมา ชนิดหลังนี่จะมีความเข้มข้นของกรดอะซิติกมาก อาจเกิดการระคายเคืองได้ ดังนั้นจึงควรผสมให้จางกว่าน้ำส้มสายชูแบบหมัก

10. มะนาว
มะนาวมีน้ำที่มีฤทธิ์เป็นกรด เนื่องจากมีส่วนประกอบหลักเป็นกรดซิตริก (Citric acid) ซึ่งเป็นกรดอ่อนและรับประทานได้เช่นเดียวกับกรดอะซิติก แต่การจะนำน้ำมะนาวเป็นถัง ๆ มาแช่เท้าคงไม่แคล้วโดนก้านมะยมอย่างแน่นอน เพราะปัจจุบันมะนาวมีราคาแพง ดังนั้นเราจึงจะใช้เพียงแค่ผลมะนาวที่บีบน้ำออกแล้ว บอกแม่อย่างเพิ่งทิ้ง ขอเอามาขัดเท้ากำจัดกลิ่นเท้าเหม็นก่อน (รับรองว่าแม่จะดีใจมาก 😁😁😁) วิธีการก็ง่าย ๆ เพียงแค่ล้างเท้าให้สะอาด จากนั้นจึงนำมะนาวมาถูให้ทั่วทั้งเท้าและซอกนิ้ว ทิ้งไว้ซักพักแล้วล้างออก เช็ดเท้าให้แห้ง กรดในมะนาวจะกำจัดทั้งกลิ่นและแบคทีเรียออกจากเท้าได้เป็นอย่างดี

11. เกลือ
เกลือ นอกจากจะสามารถนำมาใช้ในการประกอบอาหารและถนอมอาหารแล้ว การล้างเนื้อสัตว์ด้วยเกลือยังสามารถกำจัดกลิ่นเนื้อสัตว์และชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากเนื้อสัตว์ได้เช่นกัน นอกจากนี้เรายังสามารถนำเกลือมาทำความสะอาดผิวหนังและกำจัดกลิ่นจากเท้าได้อีกด้วย เนื่องจากเกลือมีความสามรถในการกำจัดเชื้อโรคบางชนิดได้ สังเกตุได้จากเวลาเป็นแผลแล้วเราไปเล่นน้ำทะเลแล้วแผลจะหายไว เพราะน้ำทะเล (น้ำเกลือนั่นแหละ) สามารถฆ่าเชื้อโรคได้

การใช้เกลือกำจัดกลิ่นเท้าสามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้ เริ่มจากเตรียมน้ำอุ่นมา 1 กะลามัง ใส่เกลือลงไปซัก 5-10 ช้อนโต๊ะ หรือจะมากกว่านี้ก็ได้ถ้ามีเกลือพอ เมื่อเกลือละลายแล้วจึงนำเท้าลงแช่สัก 30 นาที พอเท้าเค็มได้ที่ จึงนำมาล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง เพียงเท่านี้เชื้อแบคทีเรียที่แอบนอนอยู่ที่เท้าและตามซอกนิ้วก็จะถูกกำจัดออกไป เมื่อไม่มีแบคทีเรีย กลิ่นกรุ่น ๆ ก็จะหมดไปด้วย

12. แป้งฝุ่นหรือแป้งโรยเท้า
อย่างที่เราทราบกัน สาเหตุที่เท้ามีกลิ่นเหม็นก็เพราะแบคทีเรีย และแบคทีเรียก็ชอบไปแคมป์ปิ้งในบริเวณที่มีความอับชื้น ดังนั้นถ้าเรากำจัดความอับชื้นออกไปได้ แบคทีเรียก็จอด ไม่สามารถอาศัยและแพร่พันธุ์ต่อได้ และนี่คือที่มาของการใช้แป้งฝุ่นหรือแป้งโรยเท้าเพื่อกำจัดกลิ่นเท้าเหม็น โดยควรใช้แป้งโรยให้ทั่วเท้าภายหลังการอาบน้ำหรือทำความสะอาดเท้าแล้ว (ถ้าไม่ชอบอาบน้ำก็ไม่ควรใช้วิธีนี้ เปลืองแป้งเปล่า ๆ 😁😁😁) โดยโรยแป้งให้ทั่วทั้งเท้าและซอกนิ้ว และควรโรยใส่รองเท้าด้วย เพื่อกำจัดความอับชื้นให้หมดจริงๆ ... แต่ถ้าต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าออฟฟิศ ห้ามโรยแป้งใส่รองเท้า (ยกเว้นใส่ถุงเท้าสีขาว) ไม่เช่นนั้นความฮาจะบังเกิด

13. ใบชา
ใบชามีสรรพคุณในการกำจัดกลิ่นและฆ่าเชื้อโรคบางชนิดได้ ดังนั้นจึงมีการนำใบชามาช่วยในการแก้เท้าเหม็นอย่างได้ผล วิธีการทำก็ไม่ยาก เริ่มจากนำใบชามาซัก  1 หยิบมือ หรือใครหาไม่ได้ก็เข้า 7-11 ไปซื้อชาแบบซองมา 1 แพ็ค (แต่ใช้แค่ 2-3 ซอง) นำชาลงต้มในน้ำเดือดประมาณ 5 นาที แล้วปล่อยให้น้ำชาเย็นตัวลง (ห้ามใช้น้ำชาร้อน ๆ ราดรดเท้านะ 😀😀😀) เมื่อน้ำชาเย็นลงแล้วจึงนำมาผสมน้ำครึ่งกาละมัง แล้วแช่เท้าไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง ทำบ่อย ๆ สักอาทิตย์ละครั้ง กลิ่นซากศพที่เท้าจะค่อย ๆ จางลง ไม่เหลือให้เพื่อนแอบนินทาอีกต่อไป

14. กากกาแฟ
กาแฟสดเกิดจากการผ่านน้ำร้อนหรือไอน้ำร้อนไปยังผงกาแฟบดละเอียด เมื่อได้น้ำกาแฟแล้ว ผงกาแฟที่เหลือก็จะกลายเป็นกากกาแฟและถูกทิ้งไปอย่างไม่ใยดี แต่เดี๋ยวก่อน กากกาแฟยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง ทั้งนำมาทำครีมพอกหน้า นำมาขัดผิว รวมถึงสามารถนำมากำจัดกลิ่นเท้าที่เหม็นเน่าได้อีกด้วย วิธีการทำก็ง่ายนิดเดียว เริ่มจากล้างเท้าให้สะอาด จากนั้นนำกากกาแฟเพียว ๆ หรือจะผสมครีมอาบน้ำก็ได้ทาให้ทั่วเท้าและซอกนิ้ว แล้วจึงขัดด้วยแปรงขัดเท้าหรือแปรงสีฟัน ขัดเบา ๆ ไปเรื่อย ๆ พอเมื่อยได้ที่ก็พอ ล้างออกแล้วเช็ดเท้าให้แห้ง แค่นี้เท้าก็จะหมดกลิ่นเหม็นแถมยังมีกลิ่นหอมคาปูชิโนอ่อน ๆ อีกด้วย 😜😜😜

15. สเปรย์ดับกลิ่นเท้า
ถ้าลอง 14 วิธีข้างบนแล้วยังไม่ได้ผล กลิ่นช้างตายยังฝังอยู่ในเท้า แสดงว่าเราอยู่ขั้นสุด เป็นตัวตึงในเรื่องกลิ่นเท้าแล้วละ 😁😁😁 แต่อย่าเพิ่งหมดหวัง ยังเหลืออีกหนึ่งวิธี จ่ายแพงหน่อยแต่ผลแน่นอน คือ การใช้สเปรย์ดับกลิ่นเท้า ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป แต่ถ้ากลัวเภสัชกรสำลักกลิ่นก็สั่งเอาทางเน็ตได้ ชอปปี้ ลาซาด้า มีขายทุกที่ ขวดละร้อยกว่าบาท ซื้อมาแล้วก็พ่นใส่เท้าและรองเท้าก่อนออกจากบ้าน จะสามารถระงับกลิ่นเท้าเหม็นได้ทั้งวัน แต่ถ้าสเปรย์ดับกลิ่นเท้ายังเอาไม่อยู่ แนะนำให้ไปพบแพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนัง เพราะน่าจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติขึ้นแล้ว รีบพบแพทย์และรีบรักษา เป็นวิธีการที่ดีที่สุด

เท้าเหม็นเป็นปัญาที่บางคนอาจมองข้าม แต่ในความเป็นจริงแล้วมันส่งผลเสียอย่างมากต่อบุคคลิกภาพ รวมถึงความมั่นใจในการเข้าสังคม แถมยังไม่ค่อยจะมีคนกล้าบอกว่าเราเท้าเหม็น ยกเว้นเพื่อนที่สนิทกันขนาดล้อชื่อพ่อกันได้เท่านั้นที่จะกล้า ดังนั้นเมื่อพบว่าตัวเราเท้าเหม็น (ถ้าจมูกไม่ทรยศ เราก็น่าจะรู้ตัวแหละ) ต้องรีบแก้ไขทันที ซึ่งถ้าไม่มีปัญหาสุขภาพอย่างอื่นแอบแฝง 15 วิธีแก้เท้าเหม็นด้านบนใช้ได้ผลอย่างแน่นอน ... วันนี้ท่านเช็คกลิ่นเท้าตัวเองแล้วหรือยัง?



กลิ่นปาก เกิดจากอะไร?

คำถาม ... กลิ่นปาก เกิดจากอะไร?

เฉลย ...

กลิ่นปาก (Bad breath) คือ หนึ่งในสิ่งที่บั่นทอนสุขภาพจิตและทำลายบุคคลิกภาพที่ร้ายแรงมาก สำหรับคนที่รู้ตัวว่ามีกลิ่นปากก็มักจะไม่ค่อยกล้าพบใคร ไม่กล้าเข้าสังคม กลายเป็นคนเก็บตัวและเก็บกด ส่วนคนที่มีกลิ่นปากแบบไม่รู้ตัวนั้นยิ่งจะทำให้เสียบุคคลิกภาพหนักเข้าไปอีก ไม่มีใครอยากพูดคุยด้วย แค่จะเข้าใกล้ก็ยังระแวง ดังนั้นการมีกลิ่นปากนั้นสามารถทำลายสิ่งดี ๆ หลายอย่างในชีวิตได้เลย


กลิ่นปาก ส่งผลกระทบร้ายแรงกว่าที่คิด


กลิ่นปาก เกิดจากอะไร?

1. การรับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรงอยู่เสมอ เช่น ทุเรียน ขนุน เนย กระเทียม หัวหอม และถั่วชนิดต่างๆ

2. มีปัญหาสุขภาพหงือก เช่น เหงือกอักเสบ

3. แปรงฟันไม่ถูกวิธี หรือ การทำความสะอาดช่องปากไม่ดีพอ ทำให้กำจัดเศษอาหารออกไม่หมด

4. กินอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตน้อยเกินไป เพราะเมื่อร่างกายได้รับแป้งไม่เพียงพอ ร่างกายจึงหันไปใช้ไขมันในการสร้างพลังงานแทน ซึ่งส่งผลทำให้มีกลิ่นปากได้มากกว่าปกติ

5. สูบบุหรี่เป็นประจำ การสูบบุหรี่ทำให้มีกลิ่นบุหรี่ตกค้างในปาก รวมถึงมีคราบบนฟัน และจะมีปัญหาเหงือกตามมาอีกด้วย

6. ดื่มเหล้าเป็นประจำ การดื่มเหล้าต่อเนื่องจะทำให้มีกลิ่นเหล้าออกมากับลมหายใจ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์อย่างมาก

7. เป็นโรคบางชนิดอันเนื่องมาจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น ไซนัส เนื่องจากเชื้อโรคสามารถเคลื่อนที่มายังปากและลำคอ ส่งผลให้เกิดการย่อยเศษอาหารในปาก และทำให้มีกลิ่นปากที่รุนแรงได้

8. ต่อมน้ำลายทำงานผิดปกติ เช่นผลิตน้ำลายได้น้อยกว่าปกติ ทำให้เกิดสภาพกรดในปาก ส่งให้เกิดกลิ่นเหม็นเปรี้ยว อีกทั้งมีน้ำลายน้อย ทำให้ขาดน้ำลายในการชะล้างแบคทีเรียในปากอีกด้วย

9. เป็นโรคกรดไหลย้อนและโรคกระเพาะ เนื่องจากเป็นโรคที่เกี่ยวกับการมีกรดในระบบย่อยอาหารสูงเกินไป ทำให้มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวออกมาทางช่องปาก

10. เป็นโรคเบาหวาน เนื่องจากในคนที่เป็นโรคเบาหวานนั้น ร่างกายจะเผาผลาญน้ำตาลได้น้อย ร่างกายจะได้รับพลังงานไม่พอ ดังนั้นร่างกายจึงหันไปเผาผลาญไขมันแทน ซึ่งสามารถสร้างกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้มากกว่าการเผาผลาญน้ำตาล

จะเห็นว่าการมีกลิ่นปากนั้นสามารถเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ เมื่อมีกลิ่นปากเราต้องหันมาพิจารณาว่าตัวเรามีพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ได้กล่าวมาหรือไม่ ถ้ามีก็แก้ไขจุดนั้น อาการปากเหม็นก็จะหายไป แต่ถ้าเราไม่มีพฤติกรรมแบบนั้น แต่กลับมากลิ่นปากที่รุนแรง ก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป




เครดิตบูโร คืออะไร ทำหน้าที่อะไรบ้าง

คำถาม ... เครดิตบูโร คืออะไร ทำหน้าที่อะไรบ้าง

เฉลย ...

เครดิตบูโร (Credit Bureau) คือ หน่วยงานหรือบริษัทที่เก็บข้อมูลประชาชนที่มีประวัติการมีสินเชื่อ การชำระสินเชื่อ หรือบัตรเครดิตประเภทต่าง ๆ จากธนาคารและสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ 

สินเชื่อที่ธนาคารและสถาบันการเงินต้องส่งข้อมูลให้กับเครดิตบูโร ได้แก่ สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้าน สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่ออเนกประสงค์ประเภทต่าง ๆ โดยข้อมูลที่จัดส่งนั้นจะเป็นประวัติการชำระสินเชื่อ ซึ่งบรรดาธนาคารและสถาบันการเงินจะต้องส่งให้เครดิตบูโรทุกเดือน


เครดิตบูโร ... สถานที่จัดเก็บประวัติการชำระสินเชื่อ

เครดิตบูโร (Credit Bureau) มีหน้าที่อะไรบ้าง?

เครดิตบูโร หรือบริษัทข้อมูลเครดิต เป็นบริษัทหรือหน่วยงานมีหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลการชำระสินเชื่อชนิดต่าง ๆ ที่ธนาคารและสถาบันการเงินปล่อยกูให้กับประชาชนและนิติบุคคลทั่วไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยที่ธนาคารและสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกจะต้องส่งประวัติการชำระของลูกหนี้มาเก็บไว้ที่นี่ทุกเดือน และเมื่อมีลูกค้ามาขอสินเชื่อ ธนาคารและสถาบันการเงินเหล่านี้สามารถขอเรียกดูประวัติการชำระเงินของลูกค้ารายนั้นได้ (ภายใต้การยินยอมของลูกค้า) โดยบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติจะเก็บประวัติการชำระเงินไว้ในระบบเป็นเวลา 36 เดือย หรือ 3 ปี

เมื่อมีการผิดนัดชำระ ไม่ว่าจะผิดนัดชำระชั่วคราวหรือนานจนเป็นเป็นหนี้เสียก็ตาม  ข้อมูลของเราจะแสดงผลเป็นเวลา 36 เดือน ดังนั้นจึงหมายความว่า ถ้าเราเคยผิดนัดชำระมาก่อน แต่ปัจจุบันกลับมาชำระได้ตามปกติแล้ว ประวัติการผิดนัดชำระของเราก็จะยังแสดงในรายงานไปอีก 36 เดือน ดังนั้นการขอสินเชื่อในระยะนี้จะเป็นไปได้ยาก

ข้อมูลในเครดิตบูโรนั้นมีประโยชน์มากต่อสถาบันการเงินหรือธนาคารที่จะพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้า เนื่องจากข้อมูลจากเครดิตบูโรนั้นจะแสดงประวัติการชำระเงินสินเชื่อทุกชนิดของลูกค้ารายนั้น ๆ ดังนั้นธนาคารหรือสถาบันการเงินสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวในการพิจารณาว่าประวัติการชำระเงินของลูกค้ารายนี้เป็นเช่นไร มียอดค้างชำระกับที่ไหนหรือไม่ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อพิจารณายอดสินเชื่อที่เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า ในกรณีที่ลูกค้ามีประวัติการชำระเงินไม่ดี มียอดค้างชำระเกินกำหนด หรือกำลังเป็นหนี้เสียของสถาบันการเงินอื่นอยู่ ธนาคารก็อาจจะปฏิเสธการขอสินเชื่อของลูกค้าได้

ดังนั้นก่อนที่เราจะขอสินเชื่อใด ๆ จากธนาคารหรือสถาบันการเงิน ต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าเรามีความสามารถในการชำระหนี้จริงหรือไม่ มีเงินออมหรือเงินสำรองฉุกเฉินบ้างหรือไม่ เพราะการขอสินเชื่อในขณะที่เราไม่พร้อม อาจจะนำไปสู่การผิดชำระหนี้ และข้อมูลการผิดชำระหนี้จะปรากฏในเครดิตบูโรไปอีก 3 ปี ทำให้ระยะ 3 ปีนับจากวันผิดชำระหนี้ การทำธุรกรรมทางการเงินหรือการขอสินเชื่ออื่น ๆ จะเป็นไปได้ยากมาก



เตือนภัย!! ... มิจฉาชีพระบาด วิธีเอาตัวรอดจากแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์

เตือนภัย !!! อย่าหลงกลมิจฉาชีพและแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์

ในปัจจุบันต้องยอมรับว่ามิจฉาชีพและแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์กำลังระบาดอย่างหนักทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย ถึงแม้รัฐบาลจะเร่งปราบปรามแล้วก็ตาม แต่ยังไม่มีแนวโน้มว่ากลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้จะลดน้อยลง ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะป้องกันตัวเองจากเหล่าแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์เหล่านี้คือ ต้องรู้ทันและไม่หลงกล

Scam Alert

วิธีสังเกตุมิจฉาชีพ
1. โทรมาด้วยเบอร์มือถือ หรือ เบอร์ที่ขึ้นต้นด้วย + เช่น +968
2. อ้างตัวเป็นหน่วยงานรัฐ เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมสรรพากร กสทช. และสถานีตำรวจ เป็นต้น
3. อ้างตัวเป็นธนาคาร โดยบอกว่าเราเป็นหนี้บัตรเครดิตของธนาคารนั้น ๆ
4. อ้างเป็นบริษัทรับส่งพัสดุ โดยแจ้งว่าพัสดุของเรามีของผิดกฎหมาย
5. มักพูดภาษาไทยไม่ชัดเจน
6. เมื่อเรารับสาย จะบอกให้กดหมายเลขภายในเพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ เช่น ให้กด 9

เมื่อมีสายเข้าและปลายสายเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งด้านบน ให้วางสายทันที อย่าคุยต่อ เพราะอาจหลงกลมิจฉาชีพได้

วิธีรับมือมิจฉาชีพ
1. ตั้งสติให้ดี
2. ถ้าปลายสายบอกว่ามาจากหน่วยงานด้านบน ให้วางสายทันที เพราะหน่วยงานต่าง ๆ เหล่านั้นจะไม่ติดต่อเราด้วยเบอร์มือถือ หรือเบอร์ต่างประเทศ
3. ไม่บอกข้อมูลส่วนบุคคลทางโทรศัพท์เด็ดขาด ถ้าถูกอ้างว่าโทรมาจากหน่วยงานรัฐ ให้บอกไปว่าเดี๋ยวเราจะติดต่อหน่วยงานนั้นเอง
4. ห้ามโอนเงินทุกกรณี เพราะถ้าจะต้องมีการจ่ายเงินหรือเสียค่าปรับ เราต้องไปจ่ายที่งานนั้น พร้อมขอรับใบเสร็จด้วย
5. ห้ามกดลิ้งค์ทุกกรณี จำไว้เลยว่าหน่วยงานรัฐหรือเอกชน รวมถึงธนาคาร จะไม่ส่งลิ้งค์มาให้กด การกดลิ้งค์จะเป็นการเปิดประตูให้มิจฉาชีพเข้ามาควบคุมโทรศัพท์ของเราได้ หรือมิจฉาชีพอาจจะส่งมัลแวร์เข้ามาฝังไว้ในโทรศัพท์ของเราได้
6. ห้ามติดตั้งแอปทุกกรณี ข้อนี้ห้ามเด็ดขาด ห้ามติดตั้งแอปที่ปลายสายบกให้ติดตั้ง หรือให้ลิ้งค์มาเพื่อกดติดตั้ง ถ้าเราเผลอติดตั้ง โทรศัพท์ของเราจะถูกควบคุมโดยมิจฉาชีพอย่างสมบูรณ์

จำไว้ว่า ถ้าเราไม่โอนเงินให้ ไม่กดลิ้งค์ ไม่ติดตั้งแอป ... มิจฉาชีพจะทำอะไรเราไม่ได้เลย

วิธีป้องกันไม่ให้ถูกเงินจากแอปธนาคาร
1. ไม่เก็บเงินไว้ในแอปธนาคาร / บัญชีที่ออนไลน์มากเกินไป ควรเก็บไว้เท่าที่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น ๆ เท่านั้น เงินส่วนใหญ่ควรอยู่ในบัญชีที่ไม่ออนไลน์ และต้องใช้ ATM หรือสมุดไปเบิก
2. ไม่กดลิงค์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจากคนรู้จัก จากสื่อสังคมออนไลน์ หรือใครก็ตามที่โทรมาหาเรา
3. ไม่ติดตั้งแอปใด ๆ ที่มีใครก็ตามโทรมาหา แล้วบอกให้ติดตั้ง ห้ามเด็ดขาด!!! มิฉะนั้นมือถือของเราจะถูกมิจฉาชีพควบคุมได้ทั้งหมด และเงินในบัญชีที่ออนไลน์จะถูกโอนออกไปยังบัญชีม้าทั้งหมดทันที
4. ไม่ติดตั้งแอปใด ๆ นอก Play Store หรือ App Store เด็ดขาด เพราะมีความเสี่ยงที่จะถูกฝังมัลแวร์ และถูกดูดข้อมูลส่วนตัว

เพียงเท่านี้ เราก็จะปลอดภัยจากมิจฉาชีพและแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์แล้ว ส่งต่อข้อความเหล่านี้ไปยังเพื่อนฝูง คนรู้จัก บุตรหลาน และญาติผู้ใหญ่ของท่านด้วย ... 



SCAM ALERT !!! ... เตือนภัยมิจฉาชีพ

เตือนภัย!! ... มิจฉาชีพระบาด วิธีเอาตัวรอดจากแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์

เตือนภัย !!! อย่าหลงกลมิจฉาชีพและแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ในปัจจุบันต้องยอมรับว่ามิจฉาชีพและแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์กำลังระบาดอย่างหนักทั่วโลกรวมถึงประ...